และแล้วก็ผ่าน 10 สัปดาห์โหดซะที



   และแล้ว หลังจากที่พวกเราผ่านการฝึกขั้นตอนสุดท้าย คือการเดินทางไกลแล้ว วันที่พวกเราจะได้เป็นทหารเต็มร้อยซะที ก็คือวัน"พิธีปิดการฝึก"
       พวกเรารอวันนี้มานานหลายสัปดาห์ละ ว่าเมื่อไหร่มันจะฝึกเสร็จซะทีนะ จะได้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้าง เพราะอยู่ในหน่อยฝึก เหนื่อยเหลือเกิน
       พิธีปิดการฝึกนี้ เริ่มขึ้นในช่วงเช้า จัดขึ้นที่่หน้าลานอนุสาวรีย์"ผู้เสียสละ"ภายในค่ายนั่นแหล่ะ วันนี้เขาได้เปิดโอกาศให้พ่อแม่ ญาติพี่น้องของเรา เข้ามาร่วมพิธีนี้ด้วย แล้วจะมีกิจกรรม การแสดงของทหารทั้ง 2 หน่อย ที่ฝึกเสร็จพร้อมกัน คือ กองพัน และกองร้อย ซึ่งบรรยากาศ เป็นไปด้วยความสุข และมีหยดน้ำตานิดๆ เพราะวันนี้ ครูฝึกได้แจกดอกกุหลาบคนละ 1 ดอก เพื่อให้เราเอาไปมอบให้กับคนที่เรารักด้วย บางคนให้แม่ แล้วก้มลงกราบเท้าแม่ บางคนก็ให้ดอกกับแฟน แล้วโอบกอดกันใหญ่เลย ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ

บรรยากาศ เป็นไปด้วยความอิ่มอก อิ่มใจ

เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว

ช่วยเหลือชาวบ้านถูกน้ำท่วม


การเป็นทหาร ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องการรบเท่านั้นนะครับ แต่ยังมีภาระกิจอีกหลายอย่าง อย่างเช่นการออกไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน การพัฒนาหน่วย การพัฒนาสังคมต่างๆ พวกเราก็ได้มีส่วนร่วมตรงจุดนี้เหมือนกันครับ
อย่างตอนที่น้ำท่วม พวกเราก็ได้รับภารกิจให้ไปช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อน พวกเราทำงานกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ เก็บกวาดเศากิ่งไม้ ทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน ในหลายๆหมู่บ้านเลยหล่ะครับ


สิ่งที่พวกเราไม่มีโอกาศได้ทำเลย เมื่อตอนที่เป็นพลเรือน มาเป็นทหาร ได้ทำทุกอย่างแน่ๆครับ ฝนตกอย่างหนัก เรายังต้องช่วยกันตักทรายใส่กระสอบ เพื่อเอาไปกั้นน้ำ ไม่ได้หลบฝนหรอกครับ พวกเราไม่มีเวลามาสำอางขนาดนั้น เกิดมาครั้งนึง ได้เป็นทหารรับใช้แผ่นดิน มันน่าภูมิใจมากครับ

ฝึกลาดตระเวน ประสบการณ์ที่น่าจดจำ


เมื่อเป็นทหารเกณฑ์ ในช่วงกลางๆ จะได้ฝึกหลักสูตรการลาดตระเวน พวกเราได้ขึ้นไปทำการฝึกที่บนดอย ซึ่งมีความลาดชันเป็นอย่างมาก แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูฝนอีกด้วย ทำให้ความยากลำบาก เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะน้ำหนักของเครื่องสนาม และชุดเต็มรูปแบบ น้ำหนักคงจะมากกว่า 15 กิโลกรัม ดอยลื่น ทำให้เรากลิ้งกันแบบไม่เป็นท่า เมื่อไปถึงสถานีแรก ซึ่งอยู่ช่วงตอนกลางของดอย ครูฝึกได้ให้พวกเราพรางหน้า โดยการทาแป้งฝุ่นทหารสีดำให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ หลังมือ ไม่ให้มีส่วนใดเป็นสีขาวเลย ทำให้พวกเราจำหน้ากันแทบไม่ได้ แล้วพวกเราก็หากิ่งไม้ ใบไม้แถวนั้น มาเหน็บ ตามเสื้อผ้า และกระเป๋า ล็อคแซ็ก เพื่อเ้ป็นการซ่อนพรางไม่ให้ศัตรูมองเห็นได้ แล้วออกเดินทางไปสถานีที่ 2 


               ซึ่งสถานีที่ 2 นี้ระหว่างทางครูฝึกได้จุดควันไฟขึ้นเป็นระยะๆ เพื่อที่จะไล่ยุงที่ชุกชุมมาก และเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ดูสมจริงมากขึ้น พวกเราต้องเดินอ้อมดอย ไปอีกฟาก เพื่อทำภาระกิจ "ลาดตระเวนหาข่าว" ซึ่งครูฝึกได้อยู่ข้างบนยอดดอย ทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ เพื่อจำลองสถานการณ์ให้เราจดบันทึกเก็บข่าวว่า เขาทำอะไรกันบ้าง พวกเราต้องค่อยๆคืบคลานเข้่าไป ให้เงียบ และเนียนที่สุด ไม่ให้ข้าศึกจับได้ แต่เมื่อครูฝึกสังเกตุเห็น จะมีก้อนดินลอยมาโดนหมวกเหล็ก โป๊ก!!!ป๊ากๆ!!! เลยทีเดียว พวกเราต้องรีบถอยกลับให้เร็วที่สุด เพื่อกลับไปรายงานผลที่สถานีเดิม..


"ดูสภาพของเพื่อนผมซะก่อน ว่าการฝึก เข้มข้น และมันส์ มากขนาดไหน"

โรคคิดถึงเธอ ของทหารใหม่



การเป็นทหารใหม่ ในช่วงแรกก็ไม่มีอะไรมากครับ อย่า
งช่วงนี้เป็นช่วงที่ทหารเกณฑ์ ผลัด 1/55 กำลังรับการฝึกกัน คงเริ่มปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารอย่างเต็มตัว ต้องทำทุกอย่างเร็วกว่าอยู่ที่บ้าน 10 เท่า ไม่ว่าจะ กินข้าว แปรงฟัน อาบน้ำ กิจกรรมทุกอย่างจะวิ่งเอา จะเดินช้าไม่ได้ อาหารการกินก็อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยฝึก อาหารอย่างอื่นไม่ให้รับประทานโดยเด็ดขาด 

                             ตอนเช้าตื่นมาก็ต้องบริหารร่างกาย แล้วออกวิ่ง วิ่งกลับมาเสร็จก็กินข้าว เปลี่ยนเครื่องแต่งการเป็นชุดฝึกหรือชุดทำงาน ตามคำสั่ง ของสิบเวร แล้วก็จะฝึกกันตามตาราง จะเป็นอย่างนี้ไปทุกวันจนกว่าจะจบการฝึก 10 สัปดาห์  
   
                                 แม้ตอนนี้ร่างกายของเราเริ่มที่จะทนแดด ทนฝน องอาจแบบชายชาติทหารมากแล้วมากแล้ว  แต่อีกใจหนึ่งก็มักจะนึกห่วงแฟน ที่กำลังเรียนอยู่ สมองก็คิดระแวงไปต่างๆนาๆ ว่า เขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้คุยกันเลย อยากเห็นหน้่าแฟนที่สุด เราก็อาศัยช่วงเวลากลางคืน ก่อนนอนสิบเวรจะให้เวลาเราขัดรองเท้า หรือทำธุระส่วนตัวก่อนนอน 10 นาที เราจึงได้นำรูปแฟนของตัวเองมาดูต่างหน้า ให้หายคิดถึง พอได้ยินเสียงนกหวีด และปิดไฟนอนแล้ว ก็อาจจะมี "หมอนเปียก"นิดหน่อย เพราะเราจะคิดถึงแฟน พ่อ แม่ พี่น้อง แล้วเอาหน้าซุกหมอนเพราะกลัวเพื่อนรู้ แล้วก็เคลิ้มหลับไปในที่สุด...

เดินทางไกล (2)

    เมื่อไปถึงจุดที่เป็นแม่น้ำขวางหน้าแล้ว ถึงเวลาที่ทหารใหม่ทุกนายจะได้เปียกกันอีกแล้ว เพราะว่าเราจะต้องถอดชุด เครื่องสนามทุกอย่าง เอามาห่อด้วยผ้าเต็นท์ โดยการจับคู่บัดดีเพื่อนำผ้าเต้นของทั้งคู่มาประกบกันเหมือนเรือ ซึ่งจะทำให้สามารถลอยข้ามแม่น้ำไปได้


    เมื่อลอยคอข้ามแม่น้ำไปได้แล้ว เราและคู่บัดดี้ของเราจะต้องช่วยกันแบกเรือที่ทำจากผ้าเต็นท์ แล้วรีบวิ่งไปยังจุดที่ครูฝึกกำหนด ซึ่งไกลพอสมควร ประมาณ 800 เมตร เราต้องใว้หัวแบก แล้ววิ่งไปให้เร็วที่สุด 
      พอถึงจุดที่กำหนดแล้ว ครูฝึกจึงจะสั่งให้สวมชุดเหมือนเิดิม และให้ไวด้วย เมื่อมากันครบทุกคน เราจึงเดินทางต่อไปยังจุดหมาย เราเดินผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ขึ้นเนินผ่านสวนยางพาราไปอีก 3 กิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงระเบิดอีกตูมมมม..ใหญ่เลย เราทุกคนหมอบลงอย่างรวดเร็ว 
                 ครูฝึกสั่งให้ตั้งแถวตามแนวลาดตระเวน อยู่ประจำจุดของแต่ละพลอาวุธ พวกเราทหารใหม่ทั้ง 114 นายตอนนี้ได้ล้อมเชิงเขาไว้ด้านหนึ่งแล้ว รอสัญญาณจู่โจมเท่านั้น 
ตูมมมม....เสียงระเบิดดังขึ้นอีกลูกครูฝึกเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้เข้าโจมตีได้ พวกเราร้องเอียยย...แล้วบุกจู่โจมทันที เข้าล้อมบ้านพัก และรถเสบียง ที่จำลองว่าเป็นการตัดเสบียงของข้าศึก ซึ่งที่จริงก็เป็นรถเสบียงของพวกเรานั่นแหล่ะ 
   เที่ยงวันนั้น หลังจากที่ยึดรถเสบียงเสร็จ เราทุกคนก็ได้รับแจกอาหาร เป็นข้าวเหนียว 1ห่อ ปลาทูเค็ม 1 ตัว ใข่ต้ม 1 ลูก อาหารมื้อนี้ผมได้รู้อ่ะไรบางอย่างว่า เหนื่อยจนกินอะไรไม่ลงมันเป็นอย่างไร เพราะขนาดปลาทูเค็มยังจืด ความเหนื่อยมันมากเหลือเกิน



เดินทางไกล (1)

ในการฝึกทหารใหม่นั้น ขั้่นตอนที่เรียกได้ว่า เกือบจะสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือ การ"เดินทางไกล" ซึ่งมันไม่ได้เหมือนกับการเดินทางไกลของลูกเสือนะ เพราะว่าการเดินทางไกลของทหาร คือบททดสอบทางร่างกาย หลังจากที่เราได้ผ่านการฝึกมาเกือบ 2 เดือน
     ในคืนแรกนั้น เราได้ตั้งเต้นนอนกันที่สนามฟุตบอลหน้าหน่วยฝึกก่อน ซึ่งเราก็ได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามกันตามปกติ แต่จะมีเวรยามเพิ่มมากกว่าปกติ เพราะต้องยืนยามอยู่รอบเต้นของเพื่อนๆทหารใหม่ทั้งหมด
       เมื่อถึงรุ่งเช้าเราก็ได้ยินเสียงนกหวีดปลุกตอน 5.30 น.ตามปกติ ครูฝึกบอกให้เรารีบเก็บเต้นและสัมภาระต่างๆให้พร้อม แล้วให้แต่ละหมวดหมู่ตั้งแถวเดินลาดตระเวร ตามภาระกิจของตัวเอง แล้วก็ออกเดินทางไปตามถนนออกไปหน้าค่าย แล้วก็รีบเดินไปตามสนนสู่หาดเชียงราย เมื่อเดินไปถึงหาดเชียงรายแล้ว เราได้เลี้ยวซ้ายเพื่อเดินต่อไปยังจุดหมายที่"ไร่บุญรอด"ซึ่งระยะทางไม่น่าจะต่ำกว่า 20 กิโลเมตร เดินไปยังไม่ถึง 1ใน10 ของระยะทาง ก็เล่นเอาเหงื่อซึมหลังแล้วครับ เพราะน้ำหนักของเครื่องสนามที่เต็มหลัง พร้อมปืนและหมวกเหล็ก กระติกน้ำ มันยิ่งบั่นทอนเรี่ยวแรงเราไปทุกเมื่อ
       เดินผ่านหมู่บ้านมีชาวบ้านพาลูกเล็กเด็กแดงออกมาดูกันประปราย พวกเราได้ไปพักจุดแรกที่สำนักชีแห่งหนึ่ง แล้วครูฝึกสั่งให้ตั้งแถวโจมตีแบบหน้ากระดาน ซึ่งเป็นทางลัดข้ามไปยังถนนอีกฟาก ที่มีป่าช้าอยู่ไกล้ๆ  จุดนั้นเองที่เราได้ถูกสมมุติขึ้นว่า ได้ไปโจมตีเอารถเสบียงของข้าศึก เมื่อได้ยินเสียงระเบิด ตูม!!!พวกเราต่างกระโจน วิ่งออกไป พร้อมกับเปล่งเสียงว่า "เอี้ย!!" ฝ่าเข้าป่าละเมาะ ที่มีหญ้าขึ้นสูงมิดหัว จนทำเอาทหารใหม่บางคนล้มหน้าคะมำเลยก็มี
      เมื่อยึดรถเสบียงสำเร็จ เราก็ได้รับแจกอาหารมื้อเช้าของวันนั้น เมนูก็คือ ต้มผักดองใส่กระดูกหมู (กระดูกจริงๆ) ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า เหนื่อยจนกินอะไรไม่ลงมันเป็นอย่างไร ใจเราอยากกินมากเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป แต่ลิ้นมันไม่รับรถชาติอะไรเลย แต่ก็ต้องฝืนกินยัดท้องเข้าไป ให้มันย่อยไปเป็นพลังงาน แล้วเราจึงได้พักเอนหลัง 10 นาที หน้าเมรุของป่าช้านั่นเอง...

ทหารใหม่จะได้รับแจกอะไรบ้าง



คุณเคยสงสัยบ้างไหม ว่าเป็นทหารเกณฑ์เขาแจกหมดเลยจริงๆ
หรือผมขอยืนยันว่า เป็นความจริงครับ
เมื่อเข้ามาวันแรกนั้น สิ่งที่คุณนำติดตัวมา จะถูกเก็บไว้จนหมดเกลี้ยง ใส่ถุงพลาสติกแล้วเขียนชื่อติดซะ
สิ่งที่เ้ราจะได้รับแจกมีดังนี้
-กางเกงผ้าร่ม 1 ตัว
-ถุงเท้า 4 คู่ (หลังๆมาเหลือ 2 คู่ )
-รองเท้าผ้าใบ 2 คู่
-กางเกงใน 4 ตัว
-กางเกง 3 ส่วน 2 ตัว
-เสื้อแขนสั้น คอวี 4 ตัว
-หมวกแก๊ป 1 ใบ
-โรออน 1 ขวด 
-แป้ง 1 กระป๋อง
-สบู่ 1 ก้อน
-แปรงสีฟัน ยาสีฟัน
-กรรไกรตัดเล็บ 1 อัน
-ไม้แขวนเสื้อ
-ผงซักฟอก
-มีดโกน
-ขันน้ำ
-ผ้าเช็ดตัว
-รองเท้าแตะ
-เข็มขัด

ส่วนชุดอื่นๆเช่น ชุดพราง จะยังไม่ได้จนกว่าจะฝึกไปได้สักระยะหนึ่ง แล้วคุณจะได้รับใน 
"คืนรับชุด"

ฝึกยิงปืน

           ฝึกได้สักระยะนึง ทหารใหม่เริ่มจับปืนได้คล่องแคล่ว มีความแข็งแรง มีระเบียบวินัย มากพอแล้ว ก็จะได้ทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างของลูกผู้ชายชาติทหาร นั่นคือ การได้ยิงปืนของจริง ซึ่งการฝึกในขั้นนี้ ครูฝึกจะให้ความใส่ใจ เป็นพิเศษ เพราะว่าอาจมีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว
            ปืน HK33 ที่หนัก 3.5 ก.ก เมื่อใส่ซองกระสุนแบบยาวจนเต็ม ผมว่าน้ำหนักไม่น่าจะต่ำกว่า 5.5 ก.ก เห็นจะได้เพราะมันหนักมาก (ทหารที่อยู่ในสนามรบ คงแบกปืนหนักอย่างนี้ทุกวัน)
แต่ตอนที่ทหารใหม่ได้ทำการซ้อมยิงเป้านั้น ครูฝึกจะแจกกระสุนให้คนละ 9 นัดเท่านั้น เมื่อได้รับแจกกระสุนแล้วเราจะต้องให้คู่บัดดี้ของเราเป็นคนบรรจุ และขณะยิง คู่บัดดี้ของเราจะเป็นคนขานบอกว่าเรายิงไปกี่นัดแล้ว พร้อมกับนำหมวกมารองปลอกกระสุน เพื่อนำไปส่งครูฝึกให้ครบตามจำนวนที่ยิง
         เสียงปืนดังมาก เหมือนมีใครเอาลูกประทัด ปิงปอง มาจุดใกล้ๆคุณ ปืนจะกระตุกมาข้างหลังเล็กน้อยขณะยิง ตามประสบการณ์ของผม การที่เรายิงปืนไม่เข้าเป้าเป็นเพราะเราจะตกใจกับเสียงปืนของเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เพราะมันอยู่ใกล้กับหูคุณนั่นแล้ว
          เมื่อยิงเสร็จ ก็ได้เวลากินข้าวเที่ยงพอดี ฝนตามฤดูก็ได้โหมกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง แต่รถเสบียงอยู่อีกฟากหนึ่งของสนามยิงปืน จึงต้องวิ่งฝ่าฝนไปรับอะไหล่(อาหาร)กัน ถือถาดหลุมวิ่งไปถึง น้ำฝนเต็มถาดพอดี เละปนกันไปหมด แต่เราต้องกิน กินเพื่ออยู่ กินเพื่อให้มีแรงฝึก กินเพื่อจะได้มีแรงเห็นวันพรุ่งนี้ต่อไป จะได้มีแรงสมกับเป็น"ทหารกล้า"

กินอย่างทหาร

     ทหารใหม่ เมื่อเข้ามาอยู่ที่หน่วยฝึกแล้ว เราต้องปรับสภาพหลายอย่าง การกิน การอยู่ การนอน การทำกิจวัตรประจำวัน  จะไม่เหมือนกับที่คุณอยู่บ้านที่แสนสบายหรอก ต้องนอนตามเวลา กินตามเมนูอาหารประจำวัน ต้องทำตามกิจวัตรประจำวันของทหารใหม่ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน จะมีความเท่าเทียมกันหมด ทำทุกอย่างเหมือนกันหมด จึงก่อให้เกิดความกลมเกลียวกันอย่างแท้จริง
         ก่อนจะได้กินข้าวแต่ละมื้อ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ตั้งแถวจากหน้าหน่วยฝึก เดินแถวไปหน้าโรงเลี้ยง (โรงอาหาร) แล้วพลธงจะทำการปักธงลงที่แท่นหน้าโรงอาหาร แล้วขออนุญาติกับนายทหารเวร ที่จะมารอรับที่หน้าโรงเลี้ยง แล้วจึงปล่อยให้วิ่งอย่างเป็นระเบียบเข้าโรงอาหาร แล้ววิ่งซอยเท้าอยู่ข้างโต๊ะอาหาร จนสิบเวรที่คุมแถวมา สั่งหยุด แล้วสั่ง ขวา-ซ้ายหัน เข้าหาโต๊ะอาหาร ทำการถอดหมวกอย่างเป็นขั้นตอน นั่งลงอย่างเป็นขั้นตอน แล้วจึงขัดฉาก..ขัดฉากอยู่ซ้ำๆหลายรอบ จนสิบเวรพอใจแล้วจึงสั่งร้องเพลง ซึ่งแต่ละหน่วยจะไม่เหมือนกัน ที่หน่วยผมจะเป็นเพลง"พ่อแห่งแผ่นดิน"เมื่อร้องจบแล้วจึงต่อด้วยคำปฏิญาณก่อนรับประทานอาหาร และขัดฉากซ้ำอีก 4-5 รอบ จนสิบเวรสั่งว่า "พร้อมแล้ว..เชิญรับประทาน" ทหารใหม่ทุกคนจะตอบว่า "เอี้ย..ขอบคุณครับ" แล้วจึงลงมือกินให้เร็วที่สุด เบาที่สุด เมื่อเกิดเสียงแม้แต่ กริ้งเดียว ก็จะถูกสั่งให้วางช้อน แล้วเดินแถวออกไปฝึกต่อเลย เป็นการทำโทษไปในตัวด้วย
                บางวันถ้าเดินแถวเท้าไม่พร้อม สิบเวรจะแกล้ง สั่งให้วิ่งไปตั้งแถวเดินมาใหม่ตั้งแต่หน้าหน่วยฝึกอยู่หลายรอบ จนเหนื่อย และหิวสุดๆ บางวันได้แบกโต๊ะกินข้าวไปด้วย บางวันได้มุดโต๊ะกินข้าว เราต้องยื่นมือขึ้นไปคลำอาหารเอาเอง กินไข่กรอบ(กินไข่แบบไม่ต้องแกะเปลือกออก) วิ่งซอยเท้ากินข้าวก็มี
              โต๊ะอาหารจะมีถาดหลุมกิน 2 คนต่อ 1 ถาด เหยือกน้ำหาก แก้วน้ำ กระติกข้าว นั่งกินโต๊ะละ 6 คน ถ้าใครอยากจะขออะไหล่เพิ่ม (อะไหล่คือกับข้าว ข้าว น้ำ) เราต้องยื่นมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ แล้วพูดว่า"เอี้ย" กำปั้น=ขอข้าวเพิ่ม,ชู 2 นิ้ว=ขอน้ำ,ชูฝ่ามือ=ขอกับข้าวเพิ่ม แล้วจะมีทหารพี่เลี้ยงนำอาหารมาเติมให้เอง
              แต่อาหารการกิน เขาจะใส่ใจมาก อาหารจะให้พลังงานสูง แล้วต้องไม่ทำให้ท้องเสีย หรือปวดท้อง เอาง่ายๆคือ กินแล้วต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึก กินจอผักกาดก็แจกพริกคนละไม่เกิน 2 เม็ดเท่านั้น อาหารแปลกปลอมเขาจะไม่ไห้เรากินโดยเด็ดขาด ..

อานน้ำแบบทหาร


             ผมเชื่อว่า ใครที่เคยผ่านการเป็นทหารมา ต้องเคยผ่านการอาบน้ำแบบทหารมาหลากหลายรูปแบบ ไม่มากก็น้อย ที่หน่วยของผมก็เช่นกัน วันนั้นเป็นเวรของสิบเวรที่ชอบ แกล้งทหารโหดที่สุด แต่ก็แกมอารมณ์ขันไปด้วย 

           ตอนเย็นเมื่อกินข้าวเสร็จ เราถูกเรียกให้ไปตั้งแถว ที่หน้าห้องอาบน้ำ แล้วให้ถอดผ้าเหลือแต่กางเกงใน แล้วถือขันคนละใบเข้าไปในห้องอาบน้ำ แออัดกันเหมือนปลากระป๋องเลย แล้วทหารใหม่ทุกคนที่อยู่รอบๆอ่างอาบน้ำ ก็ถูกสั่งให้หมอบ กลิ่นของแต่ละคน ที่ฝึกหนักกันมาทั้งวัน และกลิ่นอะไรต่อมิอะไร ผสมกันจนหายใจแทบไม่ออก แล้วผู้ช่วยครูฝึกก็ไปใช้ถังตักน้ำสาดพวกเรา 144 คน ประมาณ 5 ถังก็บอกให้ถูสบู่   ทุกคนก็ถูกันใหญ่ แต่ตอนล้างก็ตักน้ำสาดเหมือนเดิม   แค่ไม่กี่ถังสิบเวรก็สั่งให้ออกไปตั้งแถวสวมเสื้อผ้ากัน สรุปว่าทุกคนมีฟองสบู่เต็มตัว ทั้งคัน หอม เหนียว 
คืนนั้นทหารใหม่ทุกคน ได้นอนกันอย่างมีความ...เหนียวเหนอะหนะ ..คัน...หอม..ทรมาณมากมาย 

ทหารใหม่ฉีดวัคซีน

เมื่อทหารใหม่ทุกนายเข้ารับการฝึก เริ่มแรกทางหน่วยจะฉีดวัคซีนให้ คนละ 2 เข็ม คือ กันบาดทะยัก และ ไข้หวัด 2009 ซึ่งเป็นการดูแลพวกเรา ทีจะต้องเจอกับการฝึกที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เราเดินแถวไปรับวัคซีนที่โรงบาลค่าย ตั้งแต่เช้า ซึ่งอยู่ไกลเกือบ 2 กิโลเมตร เมื่อเดินไปถึงโรงบาลค่าย ก็พบทหารกองพัน (พวกผมสังกัดกองร้อยจังหวัด) ซึ่งเดินทางมาถึงก่อน พวกเราเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ทหารใหม่ของกองพันรุ่นเดียวกัน ตัวดำปี๋เลย บ่งบอกว่า พวกเขาฝึกกันโหดมาก ซึ่งเรื่องนี้พวกเราได้ยินมาบ้างแล้ว เพาระกองพัน เป็หน่วยรบโดยตรง ต้องได้ไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนพวกผมเป็นเพียงหน่วยสนับสนุนการรบเท่านั้น การฝึกจึงไม่เข้มข้นเท่ากองพัน
         กลับมาที่การฉีดวัควีน (ลืมบอกไป ว่าเขามีการเจาะเลือดไปตรวจด้วย) เห็นว่าเป็นทหารจิตใจเข้มแข็งก็จริง แต่ก็มีเพื่อนๆบางคนที่ไม่สู้เข็ม พอเห็นเข็มฉีดยาแล้วถึงกับซีดกันหลายคนเลย แต่ละคนที่ถูกเรียกชื่อเข้าไป จะแสดงอาการกลัวเข็ม จนเรียกเสียงฮาได้มากที่เดียว บางคนถึงกับเป็นลม เมื่อเห็นเลือดตัวเอง แต่พวกเราก็ได้รับการฉีกวัคซีนจนครบทุกคน

กลับมาถึงค่าย ก็ไช่ว่าจะได้พักแขน กลับต้องมาถือปืน วิ่งออกฝึกท่าต่างๆตามจุดที่กำหนด แต่พวกเราเป็นถึงทหารกล้าเชียวนะ เรื่องแค่นี้มีหรือ ที่พวกเราจะทำไม่ได้ ดังคำปฏิญาณที่เราท่องทุกวันว่า "ไม่มีอะไร ที่ทหารใหม่ ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำไม่ทัน"

ทหารใหม่ ได้จับปืน(ครั้งแรก)

เป็นทหาร หลายคนคิดว่าต้องได้จับปืนทันทีเลย แต่ไม่ไช่ พวกเราทหารใหม่ทุกคน ฝึกท่ามือปล่าวมาหลายวันแล้ว เริ่มอยากจะจับปืน ยิงปืนจริงๆเสียที จนพวกเราได้ผ่านการฝึก จนอยู่ในวินัยมากพอแล้ว ครูฝึกจึงไว้ใจที่จะให้ฝึกกับปืนจริงๆเสียที

    หลังจากฝึกวิชาทางทหารมาได้ 3 อาทิตย์ วันที่พวกเราใจจดใจจ่อก็มาถึง พวกเราถูกเรียกให้ตั้งแถวขึ้นไปรับปืนในคลังกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ปืน HK33 ของจริงหนักตั้ง 3.5 กิโลกรัม แต่ยังไม่ได้บรรจุกระสุน มีแต่ซองกระสุนเปล่าๆ

    เราตื่นตาตื่นใจมาก และต้องจำรหัสปืนของตัวเองให้ได้ เพราะเราจะต้องใช้ปืนกระบอกนั้น จนจบการฝึก 10 สัปดาห์(นรก) ครูฝึกสอนเราเรื่อง ท่าบุคคลติดอาวุธหลายท่า หากเราทำไม่ดี หรือไม่พร้อมเพรียงกัน ก็จะถูกทำโทษ ด้วยการแบกปืนลุกนั่ง ซึ่งผมขอบอกว่า ปืนมันหนักแค่ไหนก็รู้กันตรงนี้นี่เอง

ตอนที่ฝึกการเล็งปืน ผมทำคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ เลยถูกทำโทษด้วยการ แถกปลาหมอ กลับไปยังจุดเริ่มต้น ซึ่งผมก็รีบไปหน่อย ไม่ทันระวัง เลยไปชนกับปลอกลดแสง ที่ติดอยู่ปลายปืนเข้าเต็มๆ เลือดไหลซิบๆ หลังจากนั้นมา ผมเลยได้ฉายาใหม่ ว่า "ไอ้หัวแตก"

เยี่ยมญาติวันแรก


หลังจากผ่านการฝึกมาได้ 3 อาทิตย์ (คุณอาจคิดว่าไม่นาน แต่มันนานมากในหน่วยฝึก)ก็ถึงวันที่ทหารใหม่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือ"วันเยี่ยมญาติ" ซึ่งตรงกับวันเสาร์พอดี 
..ตอนเย็นของวันศุกร์ก่อนวันเยี่ยมญาติ พวกเราได้รับแจกเหรียญ 1 บาท คนละ 3 เหรียญ เพื่อที่จะได้เอาไปโทรหาญาติ ที่หน่วยฝึก มีโทรศัพท์สาธารณะอยู่เพียงเครื่องเดียว ทหารใหม่ 114 นาย ต้องต่อแถว ยาวเหยียดเพื่อที่จะได็โทรให้พ่อแม่ พี่น้อง แฟน ลูกเมีย มาเยี่ยมในวันพรุ่งนี้ คืนนั้นผมนอนแทบไม่หลับ เพราะว่าตื่นเต้นที่จะได้เจอหน้าแฟนในวันพรุ่งนี้ 

             ตื่นเช้ามา พวกเราตื่นกันอย่างมีความสุขมาก วันที่รอคอย วันที่จะได้กินของอร่อย ที่พ่อแม่ พี่น้อง เตรียมมาเยี่ยมทหารใหม่ บางครอบครัวมีลาบ มีแกงไก่ ต้มไก้ ไก่ทอด ขนม ผลไม้สารพัด พวกเรานั่งดูทีวี รอที่ใต้ถุนหน่วยฝึก รอผู้ช่วยครูฝึกเรียกชื่อว่าญาติใครมาแล้ว แต่ละคนจะหันไปมองกันว่าญาติตัวเองมาหรือยัง พอได้ยินชื่อผม ผมรีบลุกวิ่งออกไปทันที เจอหน้าพ่อผมเป็นคนแรก ผมรีบกราบเท้าพ่อผมทันทีแบบไม่อายไคร เพราะมันตื้นตันใจแบบบอกไม่ถูก และัยังมีแม่ น้าและหลานๆของผมตามมาอีกเป็นขบวน ผมจึงชวนกันไปนั่งที่ใต้ร่มไม้แถวๆนั้น


         แม่ผมแกงเห็ดถอบ ใส่ไก่ ลาบหมู และผลไม้อีกหลายชนิดมาฝาก ผมนั่งข้างแฟนแทบไม่อยากลุกไปไหน คิดถึงแฟนใจแทบขาด ผมเพิ่งรู้ว่า "อิ่มอก อิ่มใจ" มันเป็นอย่างไร ผมกินอะไรได้ไม่มาก ทั้งๆที่หิวกระหายเหลือเกิน แต่ในใจ ในอก มันอัดอั้นน้ำตาแทบไหลออกมา เชื่อว่าทหารใหม่แทบทุกนายก็เป็นเหมือนกัน

                         ตอนเย็นเมื่อพวกเราเก็บกวาดสถานที่เสร็จแล้ว ผู้ฝึกจะสั่งรวมกันที่หน้าหน่วยฝึก ใครมีของกิน ของใช้ ที่ญาตินำมาฝาก ต้องนำมารวมกันให้หมด ของกินก็จะแบ่งกันกินตรงนั้นเลย ของใช้เช่น สบู่ ยาสีฟันก็จะคือให้ ส่วนยารักษาโรค จะเก้บไว้รวมกัน ใครจะใช้ต้องไปเบิกเอา เป็นการสร้างความเท่าเทียมกัน และเป็นการความคุมอาหารการกิน ให้เป็นไปตามที่หน่วยฝึกกำหนด

ถูกซ่อมสนาม หมอบๆคลานๆวิ่งรอบเสาโก..


                  หลังจากเป่านกหวีดนอนตอน 3 ทุ่ม พวกเราทหารใหม่ที่เหน็ดเหนื่อยกับการฝึกมาทั้งวัน ก็หลับกันอย่างมีความสุข..
..แต่ประมาณ 5 ทุ่มกว่า ก็ได้ยินเสียงนกหวีด  ปี๊ดดด..เอ้า.เตรียมรวม..ตอนแรกก็ไม่ค่อยมีใครได้ยินหรอกครับ แต่สักพัก จะมีเสียงนกหวีดยาว เรียกรวมกันที่ถนนหน้ากองร้อย "จัดแถวตามหมวดตามหมู่ ปฏิบัติ "เรารู้ว่าคืนนี้งานเข้าแน่ จึงรีบตั้งแถวกัน สักพักสิบเวรบอก "หมอบ" แล้วจะชี้แจงอ้างโน่น อ้างนี่ว่า ทหารใหม่ไม่ค่อยมีวินัย (ไม่มีได้ไงวะ รุ่นเรามีคนชื่อวินัยตั้ง 2 คน) เชื่องช้า ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง อย่างเค่รงครัด และอีกสารพัด ที่จะเป็นข้ออ้างเพื่อ "แ-ก"เราคืนนี้  

         อ้างความผิด 1 อย่าง จะสั่งเรา 1ท่า เริ่มจาก กลิ้งซ้าย กลิ้งขวา ม้วนหน้า ม้วนหลัง แล้วสั่งลุกขึ้น กอดคอ แล้วก็โดนท่าประจำ ก็คือ "ลุกนั่ง 50 ยก ปฏิบัติ" ผมนึกว่าเอ็นเข่าจะฉีกเสียแล้ว เพราะมันปวดมาก แต่ที่เกลียดที่สุดก็คือ ตอนที่ทำไปสัก 30 ยก สิบเวรจะสั่งให้หยุด แล้วเริ่มนับใหม่ อ้างว่า ทหารใหม่ ปฏิบัติไม่พร้อมกัน ไม่มีความสามัคคี สรุปว่าคืนนั้น เราทำท่าลุกนั่งไปเกือบ 300 ครั้ง 
            แต่คงยังไม่หนำใจ สิบเวรสั่งพวกเรา 114 นาย ให้ไตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ข้างสนามฟุตบอลมืดๆ แล้วสั่งม้วนหน้าไปจนถึงเสาโกฟุตบอล อีกฟากของสนาม บางคน ไปได้แค่ครึ่งสนาม ข้าวเย็นที่กินมาเต็มที่ก็พุ่งกลับออกมาทางเดิมที่มันเข้าไป ยิ่งตอนเย็นเป็นแกงหน่อไม้ดอง ยิ่งเ็ผ็ด ทรมาณสุดๆ
ม้วนไปถึงสุด ทุกคนแล้ว ก็กระโดดกบกลับมา พอครบทุกคนแล้ว จึงให้มารวมแถว เพื่อที่ผู้ช่วยครูฝึกจะได้พรมแอมโมเนียไม่ให้เป็นลมกันเสียก่อน
คืนนั้นได้นอน ตี 2 นอนทั้งๆที่ตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ เศษหญ้า โคลน (และอาจจะมีอารหารที่กลับออกมาติดตามตัวอีกด้วย)
แสบ!!คัน!!เหนียวเหนอะหนะ!!เหนื่อย!!เหม็น!! หลับ..

เริ่มต้นการฝึก

ในช่วงแรกของการฝึก จะเป็นการฝึกระเบียบแถวซะส่วนใหญ่ หรือที่ภาษาทหารเขาเรียกว่า "การฝึกท่าบุคคลมือปล่าว" เราต้องฝึกกลางแดดร้อนๆ เหนื่อยที่สุด และต้องอยู่ในสภาพกดดันทุกคน 


แถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ปลาบเท้าทุกคนต้องชิดเท่ากันหมด และต้องตั้งแถวให้เร็วที่สุด ในวเลาที่จำกัด
งานนี้ มีแต่ โดน กับ โดน


ว่ากันว่า ทหารที่มีระเบียบวินัย มากที่สุด คือทหารใหม่ในหน่วยฝึกนี่แหล่ะ



ใครว่าเราฝึกตลอดเวลาหล่ะ เขาก็มีเวลาพักประจำชั่วโมงด้วยนะ


ไม่ไช่แค่พักอย่างเดียว ครูฝึกให้เรานอนเล่นได้ด้วย


นอนแล้วต้องกางมุ้งด้วย เอ้า กางมุ้ง เดี๋ยวยุงจะมากัด เร็ววว..ว



แนะนำสถานที่

เมื่อพลเรือน อย่างพวกเราเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ แรกๆเราจะไม่รู้จักที่ทางในค่าย ทางผู้ฝึก ท่านจะพาพวกเราให้ไปรู้จักสถานที่ต่างๆ ในค่ายทหาร ซึ่งเป็นการวิ่งไปรอบๆค่ายทหาร ทำให้เราได้พละกำลังไปด้วย


อันดับแรก เราได้ขึ้นไปที่ บ.ก ใหญ่ก่อน แล้วจึงวิ่ง ต่อไปที่วัดประจำค่าย


เมื่อเราได้รู้จักท่าน อนุศาสน์ แล้ว ผู้ฝึก ได้พาพวกเราวิ่งต่อไปที่วัดดอยพระบาท ซึ่งเป็นทางชันมาก พวกเรา สภาพร่างกายยังไม่เข้าที่ จึงหอบกันใหญ่เลย แต่ก็ขึ้นไปจนถึงในที่สุด


ทางชันมาก แต่ก็คุ้มค่า เมื่อได้ขึ้นมาเห็น


ความสวยงามของวัดดอยพระบาท


ทหารใหม่ทุกนาย เข้าไปสักการะ รอยพระบาท

กิจกรรมตอนค่ำ

..หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จ พวกเราถูไล่ให้ไปอาบน้ำกัน โดยมีเวลาจำกัดเพียง 3 นาที ทำเอาบางคน กลิ้งลงบันไดก็มี เพราะ คนหลายสิบคน ต่างแย่งกันวิ่งลงบันไดนั่นเอง
          ..เมื่ออาบน้ำเสร็จ ต้องไปรวมกันที่ห้องประชุมอีกครั้ง คราวนี้ก็จะมี สิบเวรประจำวัน มาคอยให้ความรู้แก่พวกทหารใหม่อย่างเรา พวกเราก็ได้แต่นั่งฟัง และต้องรบกับยุงนับร้อย ที่คอยมาขอสารอาหารกับเรามั่ง เป็นที่รำคาญอย่างมาก สมุดของแต่ละคน เมื่อเปิดไปหน้าสุดท้าย จะเจอปฏิทินที่เขียนขึ้นมาเอง เพื่อขีดวันที่หมดไป รอวันฝึกเสร็จ จะได้กลับบ้านกัน


PX...เปิด นั่นคือเสียงสวรรค์ ที่พวกเรารอคอย หลังจากที่อบรมเสร็จ PX คือร้านค้า ที่ขายสินค้าในค่ายทหาร เพื่อให้พวกที่หิวกระหาย อย่างพวกทหารใหม่อย่างเราได้กินกัน เป็นของหวานอย่างเดียว ที่อร่อยที่สุด ในช่วงเวลานั้นเลยก็ว่าได้


เมื่อกินขนมกันเสร็จ ก็มีเสียงนกหวีด เรียกให้ไปรวมกัน ที่หน้าหน่อยฝึกชั้นบน เพื่อที่จะได้สวดมนต์ก่อนอน เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวัน แต่ละวันเราต้องปฎิบัติอย่างนี้ ตลอดช่วงของการเป็น "ทหารใหม่"


วันถัดมาในค่ายทหาร

พวกเราเริ่มถูกครูฝึก ปรับสภาพร่างกาย กิจกรรม จิตใจ จากที่เคยสุขสบายที่บ้าน ตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม พวกเราต้องถูกปลุกให้ตื่น ตั้งแต่ 5.30 น.ต้องทำะุระส่วนตัวให้เร็วที่สุด ในเวลา ที่จำกัด ไม่มีคำว่าเดิน ต้องวิ่งอย่างเดียว ตื่นเช้าก็ต้องวิ่ง สายต้องฝึก เที่ยงพัก บ่ายต้องฝึกอีก มันช่างทรมาณเสียนี่กระไร 


รสชาติของอาหารนี่ไม่ต้องพูดถึง อาหารที่ไม่อร่อยที่สุดของแม่เรา ยังอร่อยกว่าอีก แต่ด้วยความ เมื่อยล้า ความอ่อนเพลีย ทำให้พวกเรากินมันลงไปอย่างเอร็ดอร่อย ทำอะไรมาก็ต้องกิน กินเพื่ออยุ่ เพื่อจะได้มีแรงฝึกต่อไป

สัปดาห์แรก การฝึกไม่ค่อยจะเข้มข้น สักเท่าไหร่ การฝึกส่วนมาก จะอยู่ที่ห้องประชุม ใต้ถุนของหน่วยฝึกทหารใหม่ เป็นกิจกรรม ที่เน้นการทำความรู้จักกัน แนะนำชื่อเสียงเรียงนามกัน และมีมุขตลก ขำๆในแบบของทหารสอดแทรกขึ้นมาตลอด เรียกเสียงหัวเราะได้ดีทีเดียว ทำให้ลืมคิดถึงบ้านไปนิดนึง..

ถึงค่ายทหารวันแรก

..เมื่อก่อน ตอนที่ผมเป็นนักศึกษา ผมก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหล่ะครับ คือกินๆเที่ยวๆไปตามประสา ไม่ค่อยคิดอ่ะไรกับอนาคตหรือการเรียนสักเท่าไหร่ แต่ก็ดำผุด ดำว่าย จนเรียนมันจบ  พอเรียนจบก็ประจวบเหมาะกับอายุผม ที่ถึงคราวจะต้องไปเกณฑ์ทหารเสียแล้ว ทำไงดีหล่ะทีนี้ เรียนมาตั้งนาน พอจบมาไม่ทันใช้วิชาความรู้ที่สั่งสมมา(นิดหน่อย) กลับต้องมาเสี่ยงที่จะต้องจับ ใบดำ ใบแดงหรือนี่ คิดไปคิดมาหลายวัน 
เลยตัดสินใจว่า ไหนๆเราก็มีวุฒิการศึกษา ที่สามารถนำมาใช้ขอสิทธิ์ลดได้ จึงตัดสินใจสมัครไป โดยทีแรกก้ถูกทัดทาน จากพ่อของผม เพราะท่านกลัวว่าลูก จะได้ไปตกระกำ ลำบาก แต่ก็ไม่อาจหยุด หรือเปลี่ยนใจผมได้

วันแรกนั้น ทางเจ้าหน้าที่ เขาจะนัดพวกเราที่จะไปเป็นทหารเกณฑ์ ให้มารวมตัวกันตั้งแต่เช้า ที่หน้าอำเภอ พอเขาเช็ครายชื่อ และยอดทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาก็จะพาเราไปส่งยังค่ายทหารอีกทีนึง
พอเข้าไปถึงค่ายทหาร พวกเราได้พบเจอกับเพื่อนอีกมากมาย ทั้งที่จะได้อยุ่ค่ายเดียวกัน และอยู่คนละค่าย คนละสังกัดกัน แต่ที่เกือบทุกคนมีเหมือนกันก็คือ ทรงผมที่แทบจะเรียกว่า โล้นเลยก็ได้ เพราะทรงของแต่ละคน มันยิ่งกว่าเกรียนเสียอีก ทางเจ้าหน้่าที่ได้เรียกพวกเรา ให้ไปเข้าแถว เรียงตามที่อยู่ของแต่ละอำเภอ

ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อย จะรู้จักกันหรอกครับ ได้แต่มองหน้ากัน และทักทายกันบ้างด้วยรอยยิ้ม แต่เรามีกองเชียร์ คือญาติพี่น้องของเรา ที่เขาตามมาส่ง คอยให้กำลังใจอยุ่ที่ข้างๆสนามหญ้าหน้ากองร้อยนั่นเอง


เพื่อนๆของพวกเรา เยอะมาก ครับผม

Search